
ในบางโอกาส แม้หลานๆ จะวางแผนดีอย่างไร แต่ก็ต้องมีบ้างที่ไม่เป็นไปตามที่คาดคิด เจอเหตุการณ์ที่รับมือไม่ไหว รวมไปถึงด้านการเงินด้วย
ดังนั้น การทำประกันจึงเป็นการจัดการความเสี่ยงที่ดีที่สุดนะคะ ❤️
👉แต่นอกจากต้องศึกษาทำความเข้าใจประกันที่เหมาะสมแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความสามารถในการชำระเบี้ย เพราะหลานต้องวางแผนชำระเบี้ยอย่างสม่ำเสมอไปหลายปี
📌หากวันหนึ่งหลานประสบปัญหาทางการเงิน จนทำให้จ่ายค่าเบี้ยไม่ไหว ยังมีวิธีการที่สามารถแก้ไขปรับเปลี่ยนรับมือปัญหาได้ ดังต่อไปนี้ นะคะ
1. ชำระเบี้ยประกันในระยะเวลาผ่อนผัน
หากถึงกำหนดชำระแล้วยังมีเงินไม่พอ แต่จะสามารถหาเงินมาได้ครบจำนวนทันเวลาดังกล่าว การเลื่อนชำระตามกำหนดมาเป็นช่วงระยะเวลาผ่อนผันการชำระเบี้ย 31 วัน นับตั้งแต่วันที่ครบกำหนดชำระเบี้ย
ซึ่งในระหว่างระยะเวลาผ่อนผันกรมธรรม์ยังคงมีผลบังคับ และถ้าระหว่างนั้นเราเสียชีวิต บริษัทจะหักเบี้ยประกันที่ยังไม่ได้จ่ายออกจากทุนประกันชีวิต สิ่งสำคัญคือ ต้องระวังไม่ปล่อยให้พ้นระยะเวลาผ่อนผัน
ถ้าเลยเวลาแล้ว แต่กรมธรรม์ยังมีมูลค่าเวนคืน บริษัทจะนำมูลค่าเวนคืนมาหักจากการไม่ชำระเบี้ยประกันของเรา แต่ถ้ากรมธรรม์ไม่มีมูลค่าเวนคืน หรือหมดแล้ว กรมธรรม์จะขาดอายุและสิ้นผลบังคับนะคะ หลานๆ ต้องระวังให้ดี ⚠️
2. ขอเปลี่ยนงวดการชำระเบี้ยประกัน
หากรู้ว่าอาจจะชำระค่าเบี้ยไม่ทัน การเปลี่ยนจากชำระเงินรายปี เป็นแบ่งชำระทุกเดือน หรือ 6 เดือน ก็เป็นทางออกได้ แต่มีข้อเสียคือ ค่าเบี้ยจะสูงกว่าแบบรายปี
หลานจึงควรคิดก่อนตัดสินใจเปลี่ยนงวดการชำระเบี้ยนี้ หากตัดสินใจแล้ว ในปีถัด ๆ ไป ก็สามารถเปลี่ยนกลับมาจ่ายเบี้ยแบบรายปีเหมือนเดิมได้นะคะ 😊
3. ลดจำนวนเงินเอาประกัน/ปรับแผนลง
หากมองแล้ว คิดว่าเบี้ยที่จ่ายอยู่เป็นภาระที่มากเกินไปหรือชำระไม่ไหว การลดจำนวนเงินเอาประกัน หรือปรับแผนลง ก็จะช่วยให้เบี้ยที่ต้องจ่ายลดลงได้
แต่หากขอลดจำนวนเงินเอาประกันลงแล้ว ต้องไม่ต่ำกว่าทุนประกันขั้นต่ำที่กำหนด และต้องไม่มีหนี้กับบริษัทประกันชีวิตนั้นขณะขอลดทุนประกัน แต่หากขอปรับแผนลงต้องดูว่าบริษัทจะพิจารณาอย่างไรนะคะ
4. เปลี่ยนแบบกรมธรรม์
หลานสามารถขอเปลี่ยนแบบประกันเป็นแบบอื่นตามที่บริษัทกำหนดและเงื่อนไขไว้ หากมีระบุไว้ในกรมธรรม์หรือได้รับความเห็นชอบจากบริษัทได้
เพื่อลดภาระค่าเบี้ยลง แต่หลานต้องไม่ลืมดูว่าประกันแบบใหม่นั้น ตรงตามความต้องการของหลานหรือไม่ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียผลประโยชน์นะคะ ☺️
5. เปลี่ยนเป็น “กรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ” หรือเป็น “กรมธรรม์แบบขยายเวลา”
หากต้องการลดค่าเบี้ยประกันทั้งหมด หรือจ่ายไม่ไหวจริงๆ แต่ได้จ่ายเบี้ยประกันจนมีมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์และกรมธรรม์ยังมีผลบังคับแล้วนั้น
🔸หลานมีสิทธิขอเปลี่ยนเป็นแบบใช้เงินสำเร็จ หรือเป็นแบบขยายเวลาได้ ซึ่งสำหรับทั้ง 2 วิธีนี้ หลานจะไม่ต้องจ่ายเบี้ยอีกต่อไป แต่ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมที่แนบท้ายกรมธรรม์ก็จะหมดลง คือ
🔻ระยะเวลา(ปีที่คุ้มครอง)เท่าเดิม แต่เงินเอาประกันลด ลง เรียกว่า กรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ
🔻เงินเอาประกันเท่าเดิม(ทุนประกัน) แต่ระยะเวลาคุ้มครองลด เรียกว่ากรมธรรม์ขยายเวลา
6. นำมูลค่าเวนคืนชำระเบี้ยโดยอัตโนมัติ
เมื่อครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผันแล้วยังไม่ได้จ่ายเบี้ย บริษัทจะนำมูลค่าเวนคืนในกรมธรรม์มาชำระเบี้ยประกันโดยอัตโนมัติในลักษณะของการกู้ยืมกรมธรรม์
👉โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้ามูลค่าเวนคืนเพียงพอจ่ายเบี้ยประกัน บริษัทจะกู้ยืมไปเรื่อยๆ จนกว่ามูลค่าจะเหลือไม่พอ ส่วนการชำระคืนเงินกู้นั้น สามารถนำเงินมาจ่ายคืนได้ พร้อมดอกเบี้ยตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์
👉เพื่อให้มีความคุ้มครองเหมือนเดิม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาต่ออายุกรมธรรม์ของแต่ละบริษัทด้วยนะคะ
▶️ สรุปสั้นๆ : 6 วิธี หากชำระเบี้ยไม่ไหว
1) ชำระเบี้ยประกันในระยะเวลาผ่อนผัน
2) ขอเปลี่ยนงวดการชำระเบี้ยประกัน
3) ลดจำนวนเงินเอาประกัน/ปรับแบบลง
4) เปลี่ยนแบบกรมธรรม์
5) เปลี่ยนเป็น “กรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ” หรือเป็น “กรมธรรม์แบบขยายเวลา”
6) นำมูลค่าเวนคืนมาชำระเบี้ยประกันภัยโดยอัตโนมัติ
📌 การทำประกันนั้น เป็นตัวช่วยในการลดความเสี่ยงที่ดี แต่อย่าให้กลายเป็นภาระที่มากเกินไปนะคะ อยากให้หลานๆ เลือกแก้ปัญหาตามทางเลือกที่เจ้าป้าบอกไว้ แต่ที่สำคัญคือหากหลานไม่เข้าใจวิธีการ หรือหาทางออกไม่ได้ ปรึกษาเจ้าป้าได้เสมอน้า 💙